green and brown plant on water

พิจารณามรณานุสติกรรมฐาน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2565

เรื่อง พิจารณามรณานุสติกรรมฐาน

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

สวัสดีครับทุกคน กำหนดรู้ทั่วร่างกาย ปล่อยวาง ผ่อนคลาย ตัดร่างกายขันธ์ 5 ตัดความกังวลทั้งหลาย ตัดปลิโพธออกไปจากใจ แล้วจึงเข้าสู่ลมหายใจสบาย ลมหายใจเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา กำหนดรู้ติดตามดูลม กำหนดรู้ในปราณ ในลมหายใจ จนกระทั่งลมหายใจนั้นมีอาการเบาละเอียดสงบระงับ หรือละเอียดอย่างยิ่งจนกระทั่งลมนิ่งสงบหายไป กำหนดประคับประคองอยู่กับลมหายใจ อยู่กับความสงบ กำหนดรู้ว่าเราเข้าถึงอารมณ์ของความสงบระดับฌานในอานาปานสติ ลมปราณคือลมหายใจ สัมพันธ์จิตใจ ลมสัมพันธ์อารมณ์จิตคือเวทนา ลมหายใจยิ่งละเอียด อารมณ์จิตยิ่งเบาสบายเป็นสุข ลมหายใจยิ่งละเอียด จิตยิ่งเข้าสู่กำลังของสมถะของสมาธิที่ละเอียดขึ้น สูงขึ้น กำหนดทรงอารมณ์อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดปราณีตนี้ สงบ นิ่ง อุเบกขา

อานาปานสติถือว่าเป็นกรรมฐานที่เป็นวิหารธรรม คือเป็นเครื่องอยู่ เครื่องพักของจิต ให้จิตเราได้พักจากความฟุ้ง การปรุงแต่ง ความเหน็ดเหนื่อยจากการกระทบในแต่ละวัน ความแปรปรวนแกว่งไกวของอารมณ์ ที่เรามีขึ้นลงต่างๆ พักจิต อยู่ในความสงบละเอียดเบาสบาย เมื่อจิตสงบรวมลงดีแล้ว เราก็กำหนดยกกำลังของสมถะขึ้น ในกำลังของกสิณ กำหนดกสิณจิตคือภายในบริเวณกาย ภายในอกของเรา กำหนดให้เห็นดวงแก้ว เป็นเพชรประกายพรึก เป็นดวงกสิณ กำหนดดวงกสิณสว่าง เป็นเพชรระยิบระยับ มีรัศมีแผ่เป็นเส้นทะลุออกมาภายนอกกายเนื้อของเรา รัศมีจากดวงจิตที่เป็นกสิณจิต กลายเป็นสนามพลัง เป็นรัศมีแพรวพราวครอบคลุมกายของเรา กำลังจิต ความผ่องใส จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า เป็นอารมณ์จิตของพระอริยเจ้า ความเป็นเพชรประกายพรึกของจิตที่เรากำหนดทรงอารมณ์ไว้มีความตั้งมั่น เป็นบาทฐานที่ทำให้เกิดอภิญญาจิต ยิ่งจิตมีความสุข ยิ่งแสงสว่าง รัศมีของประกายพรึกมีมากเท่าไหร่ความสว่างมีมากเท่าไหร่ จิตของเรายิ่งจะเกิดจิตตานุภาพของสมาธิ ด้วยกำลังแห่งกสิณ จุดแรกเราเพาะบ่มกำลังเป็นตบะกรรมฐาน สมาธิที่เราพึงฝึกตั้งฐานในกำลังของเราเอง

กำหนดให้เห็นรัศมีจิตสว่างครอบคลุมเป็นเพชรระยิบระยับ กำหนดเห็นเรานั่งสมาธิ อยู่ภายในรัศมีดวงแก้วประกายพรึก ที่มีประกายสว่างระยิบระยับนั้น กำหนดน้อมให้ทรงอารมณ์ใจของเรา อยู่ในอารมณ์จิตนี้ อยู่ในความสุขความเบิกบาน กสิณสัมพันธ์กับจิตใจในแง่ของแสงสว่างยิ่งมาก ยิ่งสว่าง ยิ่งละเอียดระยิบระยับ แพรวพราวมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งเป็นสุข ใจเรายิ่งเป็นสุข ภาพนิมิต ดวงนิมิตยิ่งเกิดความสว่าง ยิ่งเกิดพลัง แห่งความเป็นทิพย์สูงขึ้น ยิ่งเป็นสุขยิ่งสว่าง ยิ่งชัดยิ่งแพรวพราว ยิ่งแพรวพราวยิ่งสว่าง ยิ่งชัดยิ่งเป็นสุข ยิ่งก่อให้เกิดพลังแห่งความเป็นทิพย์ ทุกสิ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน จับหลักจับแก่นได้ สมาธิจิตเราย่อมก้าวหน้า

เมื่อกำหนดรัศมีครอบคลุมแล้ว ก็กำหนดต่อไปว่า ในกำลังของเราเอง เราทำเพื่อการฝึก การปูพื้นฐาน แต่การปฏิบัติจริงๆของเรานั้น ใจของเรามีความเคารพ มีความนอบน้อมในพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ดังนั้นจิตของเราพึงน้อมกำหนดให้ภายในดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ปรากฏภาพองค์พระพุทธรูปอยู่ภายในดวงแก้วที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น ภาพองค์พระสว่างผ่องใสสงบเย็นอย่างยิ่ง รัศมีของดวงจิตยิ่งสว่างขึ้นครอบคลุมขึ้น ยิ่งแพรวพราวขึ้น ทรงอารมณ์เช่นนี้ไว้ พร้อมกับอธิษฐานจิต กำหนดทรงภาพพระทั้ง 3 ฐาน กลางกระหม่อมของเรา 1 องค์ ภายในศีรษะ 1 องค์ ภายในอกมีดวงจิตกสิณจิตพร้อมกับองค์พระที่อยู่ภายในดวงจิตกสิณจิตนั้น รวมเป็นพระทั้ง 3 ฐาน สว่าง ทรงอารมณ์จิตไว้ กำหนดจะรู้ว่าเราปฏิบัติสมาธิ เจริญสมาธิยังอยู่ในภาพที่จิตยังอยู่เนื่องกับกาย อยู่ในโลกมนุษย์ กำหนดทรงภาพพระ 3 ฐานด้วยจิต ที่มีความเคารพนอบน้อมในพระพุทธเจ้า พระธรรมพระอริยสงฆ์ กำหนดรู้ในรัศมีแสงสว่างของจิตที่ครอบคลุมสว่างขึ้น

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป พิจารณา  อาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งจิตน้อมนึกถึงพระพุทธองค์ ขออาราธนาบารมี ยกอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน กำหนดน้อมพุ่งจิตขึ้นไปสูงขึ้นจนกระทั่งถึงพระนิพพาน กำหนดน้อมในสภาวะของการเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน กำหนดจิตเห็นอาทิสมานกาย รู้สึกในความเป็นอาทิสมานกาย ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดรู้ในเครื่องทรงเครื่องประดับที่เราสวมใส่ ตั้งแต่ชฎา อุบะ อินธนู รัดเกล้า ข้อพระกร กำไล แหวนธำมรงค์ เครื่องทรงทั้งหลาย จนกระทั่งถึงฉลองพระบาทปลายงอนคือรองเท้า กำหนดรู้สึกในความเป็นอาทิสมานกาย กำหนดพิจารณาว่า เราไม่ใช่กายเนื้อขันธ์ 5 ขันธ์ 5 กายเนื้อและสมมุติทั้งหลาย ในชื่อ ในนาม ในสมบัติ  บนโลกมนุษย์นั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือกายทิพย์หรืออาทิสมานกาย ซึ่งอารมณ์จิตของเราขณะนี้ เราตัดภพ ไม่ปรารถนาในความเป็นเทวดา ในการเป็นพรหม อรูปพรหม เราตั้งจิต ปรารถนาอยู่กับความเป็นพระอรหันต์ ปรารถนาในพระนิพพานสมบัติ อาทิสมานกายเราจึงปรากฏในสภาวะของกายพระวิสุทธิเทพที่ชัดเจนแจ่มใส กำหนดเพื่อพิจารณาตัดกาย เมื่อพิจารณาแล้ว ความรู้สึกจดจ่ออยู่กับความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ และน้อมจิตกราบสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพาน

กำหนดจิตอธิษฐานต่อไปนะ น้อมจิตต่อไป วันนี้เนื่องจากเป็นวาระพิเศษเป็นวันครบรอบมรณภาพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมญาณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครบ 30 ปีพอดี 30 ตุลาคม 30 ปีพอดี กำหนดจิต ขอหลวงพ่อท่านเมตตามาปรากฏ บางคนก็จะเห็นท่านอยู่ในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ บางคนก็เห็นท่านเหมือนกับเป็นหลวงพ่อที่มีกายเนื้อ จะอยู่ในลักษณะใดก็ตาม ให้เรากำหนดตัวรู้ถึงท่าน กำหนดจิต กราบแทบพระบาท กำหนดจิตอธิษฐาน ขอพานไหว้ครูสักการะบูชา กำหนดเป็นทิพย์สว่าง ประคับประคองพานไหว้ครู พานบายศรีบูชา ยกตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาพระรัตนตรัย ขอขมาหลวงพ่อ แล้วก็จิตน้อมถึงพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ ตั้งจิตอธิษฐาน

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเมภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเย นะกะตัง

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเมภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอกราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัย ต่อหลวงพ่อ พระราชพรหมญาณ ในสิ่งที่อาจจะประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน ขอหลวงพ่อตลอดรวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดงดโทษที่บังเกิดแก่ข้าพเจ้า ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด และขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ ได้มาสั่งสอน ประสิทธิ์ประสาท สรรพวิชาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มโนมยิทธิและอภิญญาสมาบัติทั้งหลาย ให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด จากนั้นประคองพานบายศรี สักการะบูชา ยกถวายหลวงพ่อท่าน จากนั้นก็กราบอธิษฐานนะ สำหรับวันนี้ใครที่ไปบูชากำไลมหาลาภที่วัดท่าซุงก็ดี ได้มาแล้วก็ดี หรือบางคนที่ไม่ได้ อยากได้แต่ยังไม่ได้ไปบูชา หรือไม่มีโอกาสที่จะไป ก็ให้กำหนดจิต อธิษฐานให้ภาคของความเป็นทิพย์นะ ใครที่ได้แล้ว ก็ขอพร ขอบารมีหลวงพ่อประสิทธิ์ประสาท ใส่ให้ที่มือของเรา คนไหนที่ไม่มี ไม่ได้มีของหยาบ ไม่ได้ไปบูชา ก็อธิษฐานในความเป็นทิพย์ ใส่ที่อาทิสมานกายของเรา กำหนดจิตกราบ เมื่อกำหนดจิตกราบแล้ว ก็อธิษฐานต่อ ขอหลวงพ่อเมตตาสอนกรรมฐาน จะเป็นกรรมฐานกองใด ที่เหมาะกับนิสัยของข้าพเจ้า เหมาะสมกับวาสนาบารมีของข้าพเจ้า ขอให้ภาพกรรมฐานกองนั้น จงปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ด้วยเถิด

ตั้งจิตอธิษฐานให้สว่าง สงบ ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน กำหนดรู้ว่าตอนนี้เราใช้กำลังของฌาน กำลังของมโนมยิทธิ ขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานเป็นกายทิพย์ การปฏิบัติของเราตอนนี้  คือภาคของกายทิพย์ ภาคของกายทิพย์มีญาณเครื่องรู้ครบสมบูรณ์ทุกอย่าง ญาณทั้ง 8 อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุบันสนังสญาณ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ญาณทั้งหลายปรากฏรู้เห็นทุกอย่าง กำหนดรู้ กรรมฐานกองใดที่ถูกจริตเหมาะสมปฏิบัติแล้วก้าวหน้า ขอจงปรากฏขึ้น คำว่าถูกจริตก็คือเราฝึกแล้ว มีความพอใจ มีความเพลิดเพลิน มีความสนใจ  ฝึกแล้วปฏิบัติแล้วมีความคล่องตัว ปฏิบัติแล้วลื่นไหล ไม่รู้สึกว่ามันติดขัด  ไม่รู้สึกว่าฝืนใจไม่รู้สึกว่าต้องบังคับให้ฝึก อันนี้ก็คือกรรมฐานที่มันถูกกับจริตของเรา ปฏิบัติแล้วมีความก้าวหน้า ปฏิบัติแล้วจิตเข้าถึงฌาน  เข้าถึงความสงบได้เร็ว กำหนดรู้ของเรา บางคนก็อาจจะไม่ใช่กรรมฐานกองเดียว ก็ดูไปเรื่อยๆว่ามีกองไหนบ้าง เมื่อรู้เห็นขึ้นมาแล้ว ก็กำหนดขอให้ท่านสอนวิธีฝึก ฝึกยังไงให้มันเกิดความคล่องตัว บางคนทั้งกสิณ บางคนทั้งอสุภะกรรมฐาน เราก็กำหนดดู กำหนดรู้ กำหนดดูของเรานะ แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน กำหนดฝึกกรรมฐานที่ผุดรู้ขึ้นมาในจิต กำหนดว่าเราฝึกด้วยอาทิสมานกายอยู่บนพระนิพพาน ความคล่องตัวทั้งหลาย มีอยู่เต็มกำลัง ฝึกตามวิสัยของเราเอง กำหนดจิตพิจารณาธรรมต่อไปนะ ฝึกแล้วปฏิบัติพอได้แล้ว ก็นำไปฝึกต่อ อย่าหยุดยั้งเพียงแค่ฝึกแค่ครั้งเดียว ความคล่องตัวทั้งหมดจริงๆ คือการฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำซ้ำฝึกซ้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นวสี ความคล่องตัวในการปฏิบัติ ซึ่งคราวนี้เราก็จะมาปฏิบัติต่อ เมื่อสักครู่ที่ให้ดูกองกรรมฐาน ส่วนใหญ่คือกรรมฐานในภาคของสมถะ

ภาคต่อมาที่มีความสำคัญก็คือภาควิปัสสนาญาณ ถ้าภาษาของการปฏิบัติธรรม เขาเรียกว่าวิปัสสนาภูมิ ภูมิของวิปัสสนานั้น คือการพิจารณา พิจารณาด้วยจิตที่เป็นอุเบกขา พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง การพิจารณานั้นจริงๆบางครั้งบางคน พิจารณาแล้วมันไม่ต่อเนื่อง พิจารณาแล้วไม่ไป อันที่จริงหลักในการเจริญวิปัสสนาญาณก็คือ พิจารณาด้วยปัญญา จนกระทั่งจิตเห็นสภาวะความไม่เที่ยง ความแปรปรวนในร่างกายขันธ์ 5 สังขาร พิจารณาให้เห็นโทษ เห็นความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิ ซึ่งการพิจารณานั้น เราสามารถพิจารณาจากตัวเราเอง ที่เราประสบพบเจอ รวมไปถึงพิจารณาจากชีวิตของคนที่อยู่ภายนอก แล้วน้อมเข้ามาสู่ตัวเรา เช่นเราพิจารณาร่างกายของเราดู ตอนนี้เราอาจจะมีสุขภาพแข็งแรงอยู่ แต่คนใกล้ตัวเรา หรือคนไกล หรือเราพบเห็นข่าว คนที่เราเคยรู้จัก เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายบ้าง แก่เฒ่าชราลงบ้าง หรือแม้แต่เสียชีวิตไปก็บ้าง เราก็น้อมพิจารณาดูว่า ในเรื่องของความแปรปรวนในร่างกายขันธ์ 5 สังขาร เราก็ไม่แตกต่างกันกับเขา ในที่สุดเราก็ต้องแก่ เราก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย ในที่สุดเราก็ต้องตายไป ในที่สุด อันนี้เราก็พิจารณา จนกระทั่งจิตเรายอมรับตามความเป็นจริง

การพิจารณาต่อมาที่สำคัญ เราต้องพิจารณาแล้วเข้าใจ คือมีปัญญารู้แจ้งขึ้นว่า เราพิจารณาไปเพื่ออะไร เราพิจารณาในอสุภสัญญา พิจารณาดูเห็นร่างกายเปลี่ยนสภาพแปรปรวน ตายเสียชีวิต เน่าเป็นอสุภ เป็นซากศพ จนกระทั่งไม่เหลือแก่นสาร เราพิจารณาเพื่อให้เราไม่ยึดติดในร่างกาย เพื่อแยกรูป แยกนาม ยิ่งแยกรูป แยกนามได้มากเท่าไหร่ กำลังขอมโนมยิทธิก็ยิ่งมีมากเท่านั้น กำลังวิปัสสนาญาณมีมากเท่าไหร่ อารมณ์จิตที่เข้าใกล้ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานก็มีมากเพียงนั้น อารมณ์ของพระนิพพานนั้น คือการที่เราเจริญวิปัสสนาญาณ ตัดขันธ์ 5 ตัดความอยาก ตัดความปรารถนาในภพต่างๆ  นั่นก็คือตัดภพ พิจารณาตัดภพ พิจารณาตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ซึ่งอันที่จริงสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ ก็คือเครื่องร้อยรัด ร้อยรัดอะไร ร้อยรัดผูกรัด ผูกล่ามดวงจิต สังโยชน์ร้อยรัดดวงจิตไว้กับภพภูมิต่างๆ ไว้กับสังสารวัฏ ดังนั้นตัดสังโยชน์ซึ่งเป็นสาย ตัดภพคืออารมณ์ความปรารถนา ในการเกิดในภพต่างๆ ลงไปให้หมด เมื่อไหร่เราตัดอารมณ์ความปรารถนา ตัดภพต่างๆจนหมด จิตเราเหลือแต่ความพอใจในจุดเดียว เรียกว่าธรรมฉันทะอยู่กับพระนิพพาน จนจิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์อยู่กับพระนิพพาน แรงดึงดูดกระแสของการเวียนว่ายตายเกิด กระแสจิตในแบบปุถุชนก็ตัดขาดสะบั้น เป็นสมุจเฉทปหานจากจิตของเรา เราคิดพิจารณาไป ในความสงบ ในฌาน ในสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยกจิตขึ้นมาพิจารณาอยู่บนพระนิพพาน อารมณ์จิตเรา ให้สังเกตดูว่า

เมื่อพิจารณาอยู่บนพระนิพพาน จิตเรายอมรับความเป็นจริงมากกว่าสภาวะภายนอก หากจิตเราไม่อยู่ในฌานสมาบัติ ไม่อยู่ในสมาธิ อยู่ในอารมณ์แบบโลกๆ อยู่ในอารมณ์แบบมนุษย์ อยู่ในอารมณ์แบบปุถุชนคนทั่วไป เห็นคนอื่นตาย ใจก็คิดว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ เรายังไม่ตาย เรายังมีบุญ เรายังโชคดี เรายังไม่ตาย แต่หากอารมณ์มีความเป็นวิปัสสนาญาณที่เห็นธรรมตามความเป็นจริง อารมณ์เป็นอุเบกขา อารมณ์ไม่มีความอคติในเชิงคิดพิจารณาเข้าข้างตัวเอง เราก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า มันก็ไม่แน่ เราอาจจะตายในวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ นาทีนี้วินาทีนี้ก็ได้ ดังนั้นอยู่ในฌาน ย่อมพิจารณาแล้วเห็นจิต อยู่นอกฌาน มันยังมีกิเลส ยังมีนิวรณ์ 5 ประการ มารบกวน มีอคติความคิดเข้าข้างตัวเอง การพิจารณามันก็ไม่ตรงไม่เที่ยงไม่ถูกไม่แท้ เป็นวิปัสสนานึก ไม่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ เรากำหนดรู้เข้าใจกลไกในการปฏิบัติให้ชัดเจน และในเมื่อเราสามารถที่จะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ ยกจิตไปยังภพอื่นภูมิใดได้ เราก็ลองทดลองปฏิบัติ ทดลองปฏิบัติเจริญวิปัสสนาญาณอย่างไร ทดลองเจริญวิปัสสนาญาณ ทดลองเข้าฌานทดลอง ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ในภาคของการเป็นกายเนื้ออยู่บนโลกมนุษย์ ทดลองยกอาทิสมานกาย ถอดอาทิสมานกายไปฝึกสมาธิ ไปพิจารณาสมาธิบนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ไปปฏิบัติที่พรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง ไปปฏิบัติที่เมืองบาดาล ไปพิจารณาปฏิบัติบนพระนิพพาน แล้วก็ลองพิจารณาเปรียบเทียบดูว่าอารมณ์ความลึกซึ้ง อารมณ์ความปราณีต ความละเอียด ความเข้าใจในธรรม ปฏิบัติโดยยกจิตอาทิสมานกายเราไปพิจารณาที่ไหน อารมณ์พระกรรมฐาน ปัญญาในการพิจารณาธรรม จึงมีสภาวะที่รู้แจ้งรู้ตื่น มีความคล่องตัว จิตเข้าถึงความสงบ ระงับจิต มีญาณเครื่องรู้ ผุดรู้ อธิบายข้อธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งแตกต่างกัน ตรงจุดนี้ก็ให้เราแต่ละคนไปทดลองทดสอบปฏิบัติดู

ตอนนี้ก็ให้เราปฏิบัติอยู่บนพระนิพพาน พิจารณาอธิษฐานให้เห็นกายเนื้อเราทอดอยู่เบื้องหน้า เราเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณาให้เห็นกายเนื้อนอนทอดกาย พิจารณาให้เห็นกายเนื้อ แยกออก ถอดออก เป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถอดออกมาเป็นกอง เป็นกอง เป็นกอง เน้นกรรมฐาน 5 คือผม ขน เล็บ ฟัน หนังออกมาก่อน กายเนื้อท่อนใหญ่ กลายเป็นสภาวะแดงๆ ช้ำๆ ช้ำเลือดช้ำหนอง แดงๆไปหมดทั้งกาย ไม่มีเปลือกห่อหุ้ม ความสวยงามหมดไป พิจารณาต่อไป แยกอาการ 32 ออกมา ลูกตา ปอด หัวใจ สมอง ตับ ไต ไส้พุงทั้งหลาย แยกออกมา กองกระดูกมากองไว้ เส้นเอ็นมากองไว้เป็นขยุ้ม ตับ ม้าม ไต หัวใจ ปอด อวัยวะภายใน ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่แยกออกมา อาหารใหม่ อาหารเก่าแยกกองไว้ กองน้ำเลือด กองน้ำเหลือง กองน้ำหนอง แยกออกมาในอาการ 32 เมื่อกองเป็นเศษซาก อวัยวะต่างๆ เราคิดพิจารณาว่า นี่ยังเป็นตัวเราไหม เป็นกองซากเนื้อ กองเนื้อ กองเครื่องใน กองอวัยวะ กองกระดูก ไม่ใช่ร่างกายเราเลย พิจารณาว่าแล้วทำไม จิตเราถึงไปหลง ไปยึด ไปเกาะ ว่าขันธ์ 5 ร่างกายนี้มันเป็นตัวเราของเรา พิจารณาจนเห็นว่าอวิชชามันพาให้เรายึด อวิชชามันพาให้เราหลงในร่างกาย อวิชชาคือความไม่รู้ความหลง หลงยึดว่าสวย หลงยึดว่าแข็งแรง หลงยึดว่าเป็นตัวเราของเรา พิจารณาจนกระทั่ง จิตเราคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายนี้ เมื่อพิจารณาแล้ว ก็ประกอบอาการทั้ง 32 กลับมาเป็นร่าง อวัยวะทั้งหลายกลับมารวมทีละส่วน ทีละส่วน เริ่มจากโครงกระดูกวางเรียงกอง เส้นเอ็นมาวางร้อย เส้นเลือดมาวางร้อย อวัยวะภายในค่อยๆใส่เข้ามา ปอด หัวใจ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ม้าม ตับ ไตทั้งหลาย สมอง ลูกตา เนื้อ กล้ามเนื้อ ไขมัน ผิวหนัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังแปะเข้ามา มาเป็นกาย กายที่ครบรูป แต่เราพิจารณาต่อว่า ตอนนี้จิตเรายังคิดว่า กายเนื้อนี้เป็นตัวเราของเราหรือไม่ เรายอมรับตามความจริงไหม ว่าเราไม่ใช่ร่างกายขันธ์ 5  ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา เราคือจิตอาทิสมานกายที่มาใส่ขันธ์ 5 นี้อยู่ พิจารณาต่อไป จนกระทั่งจิตเราเริ่มวาง เริ่มเบาจากความยึดมั่นถือมั่น พิจารณาต่อไปว่า ในที่สุดร่างกายนี้ ก็ต้องแก่ ก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย  ต้องตายไปในที่สุด จิตเรายอมรับตามความเป็นจริงในอนิจจลักษณะ ไตรลักษณญาณหรือเปล่า

เมื่อจิตยอมรับแล้ว เราก็กำหนดต่อไป พิจารณา และเมื่อไหร่ที่สุดเราตาย ตายแล้วเราจะไปไหน พิจารณาว่าเราเบื่อจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏหรือยัง เข็ดการเกิด เข็ดความทุกข์ เข็ดกับการมีชีวิต ต้องเสวยวิบาก ต้องเสวยผลกรรมหรือยัง จากนั้นเราพิจารณาต่อไป ผลกรรม ผลวิบากทั้งหลาย ที่เราพบเจอ เรากำหนดยอมรับและปล่อยวาง เมื่อไหร่ที่เราปล่อยวางได้ ไม่ตีอกชกตัว ไม่โวยวาย ไม่โกรธด่าโชคชะตา พิจารณาว่าทุกอย่างเป็นกรรม เป็นการตัดสินใจที่เราทำ เหตุจนเกิดผล กรรมที่เกิดขึ้นในอดีตชาติ และการที่ปรากฏขึ้นจากเหตุที่เราตัดสินใจในชาติปัจจุบัน กรรมที่เรารับโดยที่ใจเราไม่ทุกข์ไม่ดิ้นรนไปกับมัน กำหนดคลายจากความทุกข์ จากกระแสกรรม ยิ่งปล่อยวางได้ วิบากกรรมยิ่งคลายตัวได้เร็ว อโหสิกรรมให้กับทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ ทุกบุคคล อโหสิกรรมให้กับพ่อแม่ สามีภรรยาลูกๆของเรา พี่น้องของเรา อโหสิกรรมให้อภัยทานต่อทุกเหตุการณ์ จนจิตเราเบา ขอให้อุปสรรคทั้งหลาย วิบากทั้งหลาย วิบากกรรมทั้งหลาย จงคลายตัว จงเบาบางลงด้วยเถิด จงให้อภัย อโหสิกรรม กำหนดในความเป็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพสว่างขึ้น ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ เราขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในระหว่างที่มีชีวิต ขอให้วิบากทั้งหลาย จงคลายตัว จงเบาบาง ขอบุญกุศลที่เราเคยสร้าง ทาน ศีล ภาวนา บุญกฐิน บุญทาน บุญสังฆทาน บุญวิหารทาน บุญอภัยทาน บุญธรรมทาน บุญใหญ่ทั้งหลาย บุญสร้างพระพุทธรูป บุญที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ขอจงส่งผลทันใจในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ให้เรามีความคล่องตัวขึ้น มีความปลอดโปร่งขึ้น กำหนดน้อมจิตจนสว่างใส อาทิสมานกายของเราสว่างขึ้น เพราะผ่องใสขึ้น

จากนั้นกำหนดจิตต่อไปนะ ขอน้อมจิตรวมบุญบารมีที่เราสร้าง ที่เราบำเพ็ญ ในอดีตชาติจนปัจจุบัน รวมตัวเป็นกระแสแห่งบุญกุศลอยู่ภายในอาทิสมานกาย ภายในจิต สว่างแผ่ออก และขอน้อมโมทนากับ บุญบารมีทั้ง 30 ทัศของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ เทพพรหมเทวดาทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ขอจงถักทอกระแสบุญ เรียงร้อยเป็นกระแสแห่งมหากุศล ข้าพเจ้าขอตั้งจิตมหาโมทนาบุญ กับทุกบุญทุกบุญกุศลที่ปรากฏขึ้นของทุกท่านทุกพระองค์ บุญกุศลความดีของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้ง 3 ภพ 3 ภูมิ รวมถึงกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์แห่งพระนิพพานที่รวมตัวกัน ขอน้อมจิตอธิษฐานโมทนาสาธุ ขออำนาจแห่งการเจริญมุทิตาอันไม่มีประมาณ มหาโมทนาบุญ

บุญอันเกิดขึ้นจากการอนุโมทนา โมทนา มหาโมทนา จงรวมลงสู่อาทิสมานกายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ด้วยเถิด ขอกำลังบุญกุศล จงสว่างขึ้น อาทิสมานกายจงสว่างขึ้น จากนั้นจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาสว่างไปอย่างไม่มีประมาณ อารมณ์จิต อาทิสมานกาย ยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข แผ่เมตตาลงไปยังอรูปพรหมทั้ง 4 ภพแห่งพรหมทั้ง 16 ชั้น มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นประธาน สวรรค์ทั้ง 6 ชั้นมีท่านปู่ ท่านย่า มีท้าวมหาราชทั้ง 4 มีท่านอินทกะ เมตตาเป็นประธาน กระแสบุญถึงเทวดาทุกองค์ ทุกวิมาน ทุกชั้น แผ่เมตตาต่อไปยังภพของรุกขเทวดา ภุมมเทวดา ทั่วโลก ทั่วอนันตจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทางที่เคหสถานบ้านเรือน ที่ทำงาน ที่วัดวาอารามที่เราปฏิบัติ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง เทวดาผู้พิทักษ์รักษาเสวตฉัตร เทวดาเทพพรหมผู้รักษาพระพุทธศาสนา พระสยามเทวาธิราช เทวดาพรหมผู้รักษาพระพุทธรูป พระบรมธาตุทั้งหลาย เทวดาพรหมทั้งหลายที่พิทักษ์รักษาผู้เจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตา แผ่บุญกุศล ถึงทุกท่าน ทุกรูป ทุกนาม

กำหนดจิตต่อไปแผ่เมตตาให้กับมนุษย์และสัตว์ที่มีกายเนื้อขันธ์ 5 กายหยาบทั้งโลกและสรรพสัตว์ทั่วจักรวาล จะเป็นดาวดวงใด กาแล็กซีใด จะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ขอแผ่เมตตาสว่าง ให้กับบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่มีกายเนื้อกายหยาบ จากนั้นแผ่เมตตาต่อไปยังภพของโอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย ปรับภพภูมิไป แผ่เมตตาให้กับดวงจิตดวงวิญญาณที่อยู่ในเมืองบังบดลับแล ภพบาดาล ภพพญานาค มิติทับซ้อน จักรวาลคู่ขนานทับซ้อนทั้งหลาย ดวงจิตทั้งหลาย จงได้รับกระแสผลบุญของข้าพเจ้า แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรต อสุรกาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพของสัตว์นรกทั้งหลาย ทุกชั้น ขอท่านลุงพุฒิ นายนิรยบาลทั้งหลายเมตตาเป็นประธาน และเป็นพยานบุญของข้าพเจ้า กำหนดจิตต่อไปให้สว่างผ่องใส

วันนี้ก็มีบุญพิเศษเดี๋ยวพาไปเที่ยวเกาหลี กำหนดจิตเล็งทิพยจักขุญาณจากบนพระนิพพานลงมา ย้อนอดีตลงไปเล็กน้อย ไปที่เกาหลีบริเวณที่เขาเหยียบกันตาย กำหนดจิต กำหนดรู้ด้วยอารมณ์จิตที่เป็นอุเบกขา เห็นภาพเหตุการณ์ เห็นความวุ่นวาย เห็นการเบียดการผลักไส เห็นความทรมานที่คนหายใจไม่ออกจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เราก็กำหนดดู กำหนดรู้ พิจารณาให้เป็นครู รู้ให้เห็นให้เป็นธรรม พิจารณาให้เห็นทุกคนที่มาก็ปรารถนาในความสุขสนุกสนาน ถึงเวลาไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาถึงฆาต เหตุการณ์มันเกิดความทุกข์ความทรมาน การเบียดเสียดยัดเยียด มันก็คือการเบียดเบียนกัน กำหนดรู้กำหนดเห็นในอารมณ์จิต จิตที่มีความหวาดกลัว จิตที่มีความคิดเอาตัวรอด คนที่ถูกเหยียบ ถูกเหยียบซ้ำจนกระทั่งตาย เราคิดพิจารณา เจตนาก็ไม่มี แต่เหตุการณ์หรือกรรมมันพาไป กำหนดจิตน้อมบุญจากกระแสพระนิพพาน แผ่ให้กับดวงจิตดวงวิญญาณที่เสียชีวิต ที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงพ้นจากความทุกข์ จงพ้นจากความเกาะยึด ที่เกาะยึดอยู่กับสถานที่ ที่หลงภพภูมิ ไม่คิดว่าตนจะตาย ขอกระแสผลบุญจากการเจริญกรรมฐานของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงส่งผลถึงท่าน บุญแสงสว่าง บุญจากสังฆทาน บุญจากกองกฐิน บุญจากกระแสจิตอันเปี่ยมไปด้วยกระแสเมตตา ขอแผ่ไปถึงทุกรูป ทุกนาม ขอจงหมดทุกข์ หมดโศก ขอจงรู้ตื่นขึ้น ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเข้าถึงบุญกุศลด้วยเถิด

กำหนดน้อมต่อไป พิจารณาต่อไป ถ้าเป็นไปได้ เวลามีงานที่เกี่ยวกับภูตผีหรืออะไรประเภทนี้ เราก็พยายามอย่าไปนะ จริงๆมันมีกระแสจิต มีกระแสบางอย่าง มันปะปนอยู่ด้วย เรากำหนดรู้ จำไว้ว่านับแต่นี้ เราไปแต่ในเขตแห่งบุญกุศลแสงสว่าง ไปรวม แต่ไปรวมกันในเขตงานบุญ งานกุศล อะไรที่ไปรวมกันด้วยความเร่าร้อน ด้วยความมืดบอด ด้วยความมัวเมา ด้วยสิ่งที่เป็นอบาย เราพยายามหลีกเลี่ยง เพื่อไม่เข้าไปพัวพันกับกรรมหมู่มาก มันจะพลอยเดือดร้อน พลอยล้มตาย พลอยติดร่างแหกรรมไปกับเขา อันนี้คือ สิ่งที่เตือนข้อที่ 1 ตอนนี้ก็เริ่มเข้าอยู่ในช่วงที่จะมีการล้มตายจำนวนมากค่อยๆทยอยเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกศิษย์หลวงพ่อ พากันบูชาวัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก เพราะทุกคนก็สื่อได้ รู้สึกได้มีลางสังหรณ์ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ที่อโคจร เราก็พยายามไม่ไป รักษาศีลได้เราก็พยายามรักษา แล้วก็มี อีกเรื่องนึง ที่ท่านฝากเตือนมา ในช่วงเทศกาลงานกฐิน หลายคนตั้งอารมณ์จิตไว้ถูกต้อง คือร่วมจิตในการทำบุญสร้างกุศล ร่วมจิตในการสร้างบุญสร้างบารมี แต่บางคนหรือบางที่บางแห่ง ยังมีอุปนิสัยที่ยังมีความเข้าใจผิด คือเมื่อไปงานบุญงานกุศล มีโรงทาน กลับมีความมุ่งหมายเตรียมถุงแกงเตรียมของ พระท่านบางครั้งยังไม่ได้อุปโลกน์หรืออนุญาตที่จะ ให้หมู่สงฆ์อนุญาตให้เป็นทานกับคน หรือเป็นทานที่เอากลับบ้านได้ แต่เราไปเอากลับก่อน นี่ก็ถือว่าไปลักของสงฆ์ หรือจิตมีความโลภเกินไป เตรียมถุงเตรียมข้าวเตรียมของไปมากมายจนเกินความพอดี ความพอเหมาะความพอสม

ไอ้ตรงจุดนี้ก็เป็นเหตุที่ทำให้เกิดกรรม เกิดวิบาก ไปวัดบ่อยจริงจะกลายเป็นว่า ถึงเวลาไปเกิดกลายเป็นเปรต ตรงนี้มันมีประสบการณ์ที่เจอ เคยไปสอนสมาธิอยู่ สอนสมาธิเสร็จทุกวัน หมาหอนเสียงเปรตมา ขอส่วนบุญทุกครั้ง สอนอยู่เป็นปี แผ่เมตตากันอยู่เป็นปี จนกระทั่งหาย ถามดูก็คือจริงๆก็เป็นชาวบ้าน ชาวบ้านชาววัดมาทำบุญ แต่ว่าด้วยความคุ้นเคย ด้วยความอยู่ใกล้ก็ถือวิสาสะ หยิบฉวยจากโรงทานบ้าง โรงครัววัดบ้าง ดังนั้นข้อสำคัญเวลาที่เราไปวัด เราไปทานอาหารวัด เราไปกินอาหารในโรงทาน สิ่งสำคัญคือการชำระหนี้สงฆ์ หรือตามที่หลวงพ่อท่านสอนก็คือ เป็นไปได้ก็พยายามสร้างพระชำระหนี้สงฆ์โดยร่วมสร้างปีละองค์เป็นอย่างน้อย เป็นผู้ร่วมบุญก็ได้ไม่ต้องเป็นเจ้าภาพเต็ม ตรงนี้ก็จะได้เป็นเครื่องที่ขาด เผื่อบางครั้งเราเคยพลาด เคยประมาท แต่หากใครเคยพลาดมาแล้วบ่อยครั้ง เพิ่งจะมารู้ตัวตอนที่อาจารย์บอกอาจารย์สอน เราก็ตั้งจิตอธิษฐาน หาโอกาสไปทำบุญร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ตรงๆ

โดยอธิษฐานว่าสิ่งใดที่ผิดที่พลาดที่พลั้งหยิบฉวยด้วยความไม่รู้ หรือพ่อแม่บอกมาใช้มา ญาติทั้งหลายบอกมาใช้มาสั่งมาให้ทำ จนกระทั่งเราเคยชินเป็นวัตรเป็นนิสัย ตรงจุดนี้เราขอขมาลาโทษ ขอร่วมบุญ ขอสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ขอให้กรรมทั้งหลายจงเป็นโมฆะกรรม ข้อนี้ก็เป็นต้นเหตุที่ทำไมหลวงพ่อถึงสอนให้เราร่วมบุญหรือสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ เพื่อเป็นเครื่องปิดอบายภูมิของเรา ตรงนี้ก็อย่าลืม อันนี้ก็เป็นข้อที่ท่านสั่งที่ท่านเตือนมา ส่วนข้ออื่นในการปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อฤาษีท่านสอนท่านถ่ายทอด แล้วก็เป็นอุบายสำคัญก็คือเรื่องพยานบุญ ทำบุญครั้งใดก็อธิษฐานให้ลุงพุฒ ให้พญายมราชท่านมีส่วนร่วมทุกครั้ง ให้ท่านเป็นพยานบุญของเรานะ นายนิรยบาลทั้งหลายเป็นพยานบุญ มีส่วนร่วมในบุญได้ผลอานิสงส์ผลบุญกับเรา ถึงเวลาก็มารับตัวเราขึ้นมา เกิดเรายังพุ่งจิตไปพระนิพพานไม่ได้ หรือมีเหตุสุดวิสัย ท่านก็จะได้รู้ว่าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม เรามีบุญมีทานของบุญ เราตั้งจิตเพื่อไปพระนิพพาน ท่านก็จะได้ช่วย ท่านก็จะได้แก้ไขให้เราได้ ตรงนี้เราก็วางกำลังใจไว้ อย่าให้ลืมนะ

สำหรับวันนี้ เราแผ่เมตตาไปแล้วทั้ง 3 ภพ 3 ภูมิ กำลังจิตกำลังใจของเราได้มากราบสักการะหลวงพ่อเนื่องในวันครบรอบ 30 ปีวันมรณภาพของท่าน ได้เจริญพระกรรมฐาน เป็นการปฏิบัติบูชาคุณท่าน เราก็น้อมจิตนะอธิษฐานว่า ขอให้ความกตัญญูกตเวทิตาต่อบูรพาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา สมาธิวิชามโนมยิทธิ ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ให้เราเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปทั้งทางโลกทางธรรมด้วยเถิด ขอให้เรารอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหลาย รอดปลอดภัยจากโรคระบาด รอดปลอดภัยจากสงคราม สงครามเศรษฐกิจ รอดปลอดภัยจากความทุกข์จากการเบียดเบียนทั้งหลาย จากการล้าง จากการคัดกรองทั้งหลาย ขอให้เราเป็นผู้ที่ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไลได้ จากนั้นกราบ แยกอาทิสมานกายกราบทุกท่านทุกพระองค์ นับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ น้อมจิตกราบ จากนั้นพุ่งอาทิสมานกายกลับมาที่โลกมนุษย์ อธิษฐานจิต ขอกระแสแห่งพระนิพพาน กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน แผ่ตรงลงมายังกายเนื้อ ยังเคหสถานบ้านเรือนของเรา เปิดกระแสบุญ เปิดสายบุญ เปิดทรัพย์ เปิดสายสมบัติ กระแสแห่งพระนิพพานชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ขันธ์ 5 ของเราทั้งหมด ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย กระแสแห่งพระนิพพานน้อมรวมลงมาเป็นพุทธบารมีคุ้มครองเป็นเกาะแก้ว 7 ชั้น คุ้มครองกาย วาจา ใจของเรา

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน เป็นบุญกรรมฐาน จิตที่อธิษฐานหลังกำลังสมาธิใหญ่ ย่อมมีกำลังสูง เราอธิษฐานจิตด้วยความมั่นคง นิ่งสงบหยุดตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว จากนั้นโมทนาบุญกับเพื่อนๆที่ร่วมปฏิบัติธรรมทุกคน และที่ฟังภายหลัง ผู้ที่ถอดไฟล์เสียง ขอบุญกุศลจงปรากฏ โมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกคน แล้วก็เป็นไปได้ พยายามเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานไว้เสมอ เขียนแผ่นทองแล้วก็พยายามไว้ในที่สูง อย่าไปวางกับพื้น ตั้งจิตว่ามีกระแสพระนิพพานอยู่ในแผ่นที่เราอธิษฐาน ประจุกำลังแห่งบุญไว้ จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆหายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นถอนจิตช้าๆจากสมาธิ ใจแย้มยิ้มเบิกบาน จิตผ่องใสปราณีต กายเนื้อกายทิพย์สว่าง ภาพองค์พระทรงไว้ 3 ฐานยังอยู่ จิตถึงพระ จิตถึงพระนิพพาน เชื่อมกระแสกับพระนิพพาน ยกจิตขึ้นพระนิพพาน ยกจิตไปกราบพระพุทธเจ้าได้ตลอดเวลาที่เราตั้งใจเป็นปกติ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนนะ คนไหนที่มีเคราะห์มีวิบากก็ขอให้ผ่านพ้นเคราะห์ ผ่านพ้นวิบากกรรมทั้งหลาย ปล่อยวาง เมตตา อภัย อโหสิกรรม ผ่านพ้นวิบาก บุญส่งผล บุญเข้ามาให้ผล กุศลบุญใหญ่เข้ามาให้ผลทันใจกันทุกคน สำหรับวันนี้ก็โมทนากับทุกคนนะครับ สวัสดีพบกันใหม่สัปดาห์หน้า 

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

You cannot copy content of this page